ฝังเข็มฝ้า

ฝ้า (MELASMA)

พูดถึงฝ้าคงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก ฝ้าเกิดจาดความผิดปกติของการสร้างผิวของผิวหนังในบางแห่งและเป็นเฉพาะบางคนเท่านั้น  แต่โดยมากแล้วฝ้ามักจะเกิดในคนผิวขาวมากกว่าคนผิวคล้ำหรือผิวดำ  ฝ้าเกิดได้หลายๆที่บนใบหน้าเนื่องจากผิวหนังที่หน้ามีเซลล์สร้างสีผิวมากกว่าบริเวณอื่นๆ และโดยเฉพาะบริเวณโหนกแก้มและสันจมูกจะเป็นบริเวณที่มีฝ้าเกิดขึ้นได้บ่อยเนื่องจากเป็นบริเวณที่ถูกแดดที่สุด ฝ้าพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มีปัจจัยหลายๆอย่างที่ทำให้เป็นฝ้าง่ายขึ้นและทำให้คนที่เป็นฝ้าเป็นมากขึ้นด้วย

ทำไมสีผิวของคนเราแตกต่างกัน

ผิวหนังจะมีสารสำคัญที่ทำให้เกิดสีผิว  คือ เม็ดสีเมลานิน (melanin) ซึ่งเม็ดสีนี้เป็นส่วนสำคัญในการป้องกันผิวหนังจากการทำลายของแสงแดดไม่ให้ผิวเกิดการแดงหรือไหม้เกรียมจากการถูกแดดเผา (sunburn)  เพราะเม็ดสีของเมลานินจะช่วยดูดซับแสงในช่วงแสงที่มองเห็น (Visible light : 400-700 nm)  และแสงอุลตร้าไวโอเลต เอ และบี ไว้ได้ (Ultraviolet A:320-400 nm, Ultraviolet  B: 290-320 nm)

สีผิวหนังของคนเราเป็นผลรวมของสี3 สีคือ

  • สีน้ำตาล จาก melanin
  • สีแดง จาก deoxygenated  hemoglobin
  • สีเหลือง จาก  carotene

สีผิวที่ผิวหนังเกิดขึ้นได้อย่างไร ?

สีผิวหนังเกิดจากการที่เซลล์สร้างเม็ดสี (melanocyte) ซึ้งอยู่ในชั้นล่างสุดของหนังกำพร้า (basal  cell  layer)  สร้างเม็ดสีที่เรียกว่าเมลานิน (melanin)  เมื่อสร้างแล้วเม็ดสีจะถูกส่งให้เซลล์ผิวหนังในชั้นหนังกำพร้าที่เรียกว่า keratinocyte  ที่อยู่ส่วนบนสุดของผิวหนังต่อไป

      ขบวนการสร้างสีผิวนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เป็นทารกในครรภ์มารดา  และเกิดต่อเนื่องไปตลอดชีวิต  ในขบวนการสร้างเม็ดสีจะต้องอาศัยเอ็นไซม์ที่สำคัญตัวหนึ่งคือ เอ็นไซม์ไทโรซิเนส  (tyrosinase)  ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดสี เอ็นไซม์นี้ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีต่าง ๆ ที่ซับซ้อนหลายขั้นตอน  เพื่อที่จะเปลี่ยน tyrosine ซึ่งจะเป็นกรดอะมิโนในผิวหนัง  ให้กลายเป็นเป็นเม็ดสีที่เรียกว่า เมลานิน  เมื่อเปลี่ยนเทียบส่วนต่างๆของร่างกายจะพบว่าจำนวนเซลล์สร้างเม็ดสีจะแตกต่างกันคือ ที่ใบหน้าจะเป็นบริเวณที่มีเซลล์สร้างเม็ดสีหนาแน่นที่สุดส่วนที่ลำตัวและแขนจะมีเซลล์สร้างเม็ดสีน้อยลงตามลำดับ ในคนผิวดำหรือคนผิวขาวจะมีจำนวนเซลล์สร้างเม็ดสีไม่แตกต่างกัน  แต่การทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสีในคนผิดำจะมากกว่า ขนาดของเซลล์จะโตกว่าและสัดส่วนของเม็ดสีภายในเซลล์จะมากกว่าคนผิวขาว
     กระบวนการสร้างเม็ดสีจะมีขั้นตอนต่างๆมากมายจึงเกิดเม็ดสีขึ้นดังนั้นหากมีความผิดปกติของขั้นตอนหนึ่งก็จะทำให้เกิดความผิดปกติของสีผิวด้วย  เช่น ถ้ามีปัจจัยใดก็ตามที่กระตุ้นการทำงานเอ็นไซม์ไทโรซเนสมากขึ้น  ก็ทำให้มีการสร้างเม็ดสีเพิ่มมากขึ้น ทำให้ผิวเข้มข้น แต่หากถูกกระตุ้นมากขึ้นจนเสียสมดุลย์ของการสร้างเมลานินก็จะทำให้เกิดมีการผลิตเมลานินมากขึ้นเกิดไปจนเกิดเป็นฝ้า  กระ  หรือจุดด่างดำที่ผิวหนังขึ้นได้  แต่ในทางกลับกัน  หากเซลล์สร้างเม็ดสีไม่สามารถสร้างเอ็นไซม์ไทโรซิเนสก็จะทำให้เกิดความผิดปกติของสีผิวปกติของสีผิวแบบ
“Hypopigmentation” เช่นโรคด่างขาว  เป็นต้น

สาเหตุของการเกิดฝ้า

  1. แสงแดด

เชื่อว่าแดดเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดในการเกิดฝ้า  เมื่อผิวหนังถูกแสงแดดรังสีอุลตร้าไวโอเลตจะกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์ไทโรซิเนสมากขึ้น  ทำให้มีการสร้างเม็ดสีมากผิดปกติจนเกิดฝ้า  กระ  หรือรอยด่างดำมากขึ้นได้

  1. ฮอร์โมน

ฮอร์โมนบางอย่างทำให้เกิดฝ้าหรือทำให้ที่เป็นอยู่เข้มมากขึ้น โดยมากมักพบในคนตั้งครรภ์  หรือคนที่รับประทานยาคุมกำเนิดและอาจพบในคนที่เป็นธัยรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidsm)  ผิวหนังทั่วร่างกายจะมีสีคล้ำมากขึ้น

  1. ยารับประทาน

มียาหลายชนิดที่รับประทานแล้วทำให้เกิดฝ้าได้  เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด  เป็นต้น

  1. เครื่องสำอาง

บางคนเกิดการแพ้ส่วนผสมต่างๆ ในเครื่องสำอาง เช่น  น้ำหอม , สี , สารกันเสีย ทำให้เกิดเป็นรอยด่างดำแบบฝ้าได้

  1. การขาดอาหาร

การขาดสารอาหารบางอย่างทำให้มีสีผิวคล้ำขึ้นได้  เช่น  กรด Folic , วิตะมินแอ , วิตะมินซี    หรือ วิตะมินบี 12 เป็น

  1. พันธุกรรม

คนในครอบครัวเดียวกันมีโอกาสเกิดฝ้าได้ถึง  30- 50 % และพบว่าฝ้ามักเกิดในคนเอเชีย  ซึ่งอาจเกิดจากอิทธิพลของพันธุกรรมหรืออาจเป็นผลมาจากสิ่งแวดล้อม และแสงแดด ก็เป็นได้

 

ชนิดของฝ้า

  1. ฝ้าที่อยู่ในชั้นหนังกำพร้าหรือชนิดตื้น (Epidermal  type)
  2. ฝ้าที่อยู่ในชั้นหนังแท้หรือชนิดลึก(Dermal type)
  3. ฝ้าแบบผสม (Compound type)

การแยกชนิดของฝ้าทำได้โดยการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า  Wood’s  lamp  ส่องไปที่ใบหน้า  หากฝ้าชัดขึ้นแสดงว่าเป็นฝ้าชนิดแรกคือชนิดตื้น  แต่ถ้าเป็นชนิดลึกจะไม่พบการเปลี่ยนแปลง  บางคนอาจเป็นฝ้าทั้ง 2 ชนิด คนที่มีฝ้าชนิดตื้นจะตอบสนองต่อการรักษาได้ดีกว่าคนที่มีฝ้าอยู่ในชั้นหนังแท้  จึงมีโอกาสหายได้เร็วกว่าคนที่มีฝ้าชนิดลึก

วิธีการรักษาฝ้า

1.ยารักษาฝ้า

ยารักษาฝ้ามีอยู่มากมายหลายชนิด แต่ละชนิดจะออกฤทธิ์ในการรักษาฝ้าแตกต่างกัน  ในการรักษาฝ้าแพทย์อาจจะใช้ยาร่วมกันหลายๆอย่าง  เพื่อให้ฝ้าหายเร็วขึ้นยาบางอย่างหากใช้ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมอาจเกิดผลข้างเคียงอื่นๆตามมาได้ เช่น หน้าลอก , หน้าแดง , ผิวหน้าบางลง หรือหน้าดำคล้ำมากกว่าเดิม ยาหลายๆตัวที่มีในท้องตลาดและไม่ควรนำมาใช้ในการรักษาฝ้า เช่น

ครีมไข่มุก

ในสมัยก่อนคุณอาจจะเคยได้ยินครีมที่มีชื่อว่า “ครีมไข่มุก”  ซึ่งเป็นครีมที่ใช้ทาฝ้าในสมัยก่อน  ทำให้ฝ้าจางลงหน้าขาวขึ้น ซึ้งสาระสำคัญในครีมนี้ก็คือ สารปรอท   (Ammoniated  mercury) มีลักษณะเป็นผงสีขาวไม่ละลายน้ำ  ไม่ละลายในแอลกอฮอล์  สารนี้ทำให้ฝ้าจางลงได้เนื่องจากมีสารปรอทซึ่งไปรบกวนการทำงานของเอ็นไซม์ที่ใช้ในการสร้างเม็ดสีและยังสามารถทำลายเซลล์สร้างเม็ดสีอย่างถาวรได้  หากใช้ครีมนี้เป็นระยะเวลานานๆ  จะทำให้เกิดด่างขาวบริเวณที่ทาได้  นอกจากนี้อาจจะทำให้ฝ้าที่เป็นอยู่ดำคล้ำมากกว่าเดิม  ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะสารปรอทมีการสะสมอยู่ใต้ผิวหนัง  ทำให้เห็นเป็นรอยดำขึ้น  และที่อันตรายมากกว่านั้นก็คือถ้าสารปรอทถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายในปริมาณสูงจะทำให้เกิดพิษต่อไตได้  ในปัจจุบันจึงมีกฎหมายห้ามใช้สารปรอทผสมในครีมทาฝ้าแล้ว

ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone)

                    ในการรักษาฝ้าจะมีความเข้มข้นตั้งแต่  2-5 % ออกฤทธิ์ลดการสร้างเม็ดสีโดยลดการสร้างเม็ดสี  ยานี้มีประสิทธิภาพในการรักษาฝ้าได้ดี  แต่หากใช้ยานี้ในความเข้มข้นสูงๆ ทำให้มีอาการแดงได้  และอาจจะมีการทำลายเซลล์สร้างเม็ดสีทำให้เกิดด่างขาวได้  การใช้ยานี้ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด  เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงได้มาก หากใช้ไม่ถูกต้อง  นอกจากนั้นแล้วฝ้าจางลงและต้องการจะหยุดยา  ก่อนจะเลิกใช้ต้องมีการปรับยาให้เหมาะสมเสียก่อนจึงจะเลิกใช้ยาได้  เพราะถ้าหยุดใช้ทันทีอาจทำให้หน้าคล้ำขึ้นได้

 กรดวิตะมินเอ  (Retinoic  acid)

          กรดวิตะมินเอหรือ tretinoin  ออกฤทธิ์ โดยเร่งให้เซลล์ผิวหนังชั้นบนที่มีเมลานินหลุดลอกออก  โดยใช้ความเข้มข้นตั้งแต่  0.01-0.05 % มักใช้ร่วมกับยาอื่นๆเพราะหากทายาชนิดนี้เพียงอย่างเดียวจะให้ผลช้า ยานี้อาจมีผลข้างเคียงทำให้มีอาการระคายเคืองหรือทำให้หน้าแดงได้

ยาสเตียรอยด์ (Steroid)

        ครีมทาฝ้าบางชนิดจะมีสารพวกสเตียรอยด์ ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน จึงทำให้บริเวณที่ทายานี้ขาวขึ้นได้ ยาประเภทนี้มีความแรงหลายระดับและความเข้มข้นต่างๆกัน การทายานี้นานๆหรือทายาประเภทนี้ที่มีฤทธิ์แรง จะทำให้เกิดผลข้างเคียงมากเช่น  เกิดสิว , ผิวหน้าบาง  , บริเวณที่ทาอาจมีขนยาวกว่าปกติ  หรือมีเส้นเลือดฝอยขยายบริเวณที่ทายาได้

ยาอื่นๆ (Miscelleneous)

  • AHA เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นบนที่ตายแล้วหลุดออกจึงทำให้ฝ้าจางเร็วขึ้น  มักใช้ร่วมกับยาฝ้าชนิดอื่นๆเพราะช่วยให้ฝ้าชนิดอื่นๆออกฤทธิ์หรือซึมเข้าผิวหนังได้ดีขึ้น
  • Kojic acid     ใช้เป็นยารักษาฝ้า มีทั้งที่เป็นครีมและชนิดที่เป็นสารละลายใส  ความเข้มข้นประมาณ 1-2 %  ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ไทโรซิเนส  ทำให้การสร้างเม็ดสีเมลานินลดลง
  • Arbutin cream     ความเข้มข้น 3-7 %   ได้มีการนำเอาสารชนิดนี้ผสมเครื่องสำอางเพื่อทำให้ผิวขาวขึ้น  ออกฤทธิ์ ยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ไทโรซิเนส ทำให้การสร้างเม็ดสีเมลานินลดลง
  • Licorice  cream    ความเข้มข้น 0.1 สารออกฤทธิ์ที่สำคัญคือ  glabridin  ซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ไทโรซเนสและเอ็นไซม์อื่น (Dopachrome   tautomerase)  ทำให้สร้างเม็ดสีเมลานินลดลง

Vitamin   C  derivatives    คือสารที่มีชื่อว่า  ascorbyl  magnesium  phosphate   หรือที่เรียกย่อๆว่า VC-PMG  ความเข้มข้น 3 % มีทั้งที่เป็นครีม  โลชั่นและสารละลายใส  ได้มีการนำเอาสารชนิดนี้ผสมในเครื่องสำอางเพื่อทำให้ผิวขาวขึ้น

2.การฝังเข็มรักษาฝ้า

การฝังเข็มรักษาฝ้า บริเวณผิวหน้า ซึ่งเป็นเข็มชนิดพิเศษ และมีขนาดเล็กกว่าเข็มที่ฝังบริเวณอื่นๆ โดยทั่วไปแพทย์จะฝังเข็มล้อมบริเวณที่เป็นฝ้า เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการซ่อมแซม และเพิ่มการไหลเวียนของระบบเลือดและน้ำเหลืองที่บริเวณนั้น เป็นวิธีการรักษาโดยกลไกธรรมชาติของร่างกาย ซึ่งคล้ายกับการเกิดรอยดำทั่วไป ร่างก่ยก็มีกลไกในการรักษาตัวเอง ทำให้รอยเหล่านั้นจางหายได้เอง การรักษาโดยการฝังเข็มก็เช่นกัน เพียงแต่เข็มไปช่วยกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาซ่อมแซมตนเอง นอกเหนือจากการฝังเข็มที่บริเวณใบหน้าที่เป็นฝ้า ในบางราย อาจจะต้องฝังเข็มบริเวณอื่นด้วย เพื่อปรับสมดุลบความผิดปกติของระบบอื่นๆเช่น ระบบเลือดลม และฮอร์โมน จึงทำให้ฝ้าจางหายไปได้ โดยมากแล้วจะฝังเข็มสัปดาห์ละ1-2ครั้ง ต่อเนื่องประมาณ10ครั้ง หรือ 1 คอร์ส