
รู้ได้อย่างไรว่าอ้วน
ก่อนที่จะรู้ว่าอ้วนหรือไม่นั้น จะต้องดูลักษณะโครงร่างของร่างกายก่อนว่ามีลักษณะอย่างไร เพราะบางคนมีโครงร่างเล็ก ตัวเตี้ยน้ำหนักตัวน้อยกว่าคนที่สูงหรือโครงร่างใหญ่ก็จริงแต่อาจดูอ้วนกว่าก็ได้ เพราะมีปริมาณของไขมันมาก ในวัยเด็กและวัยหนุ่มสาวร่างกายจะมีการเจริญเติบโตของโครงกระดูกอย่างรวดเร็ว จึงทำให้น้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะในเพศชาย จะมีการเปลี่ยนแปลงได้มากกว่าเพศหญิง แต่เมื่ออายุมากขึ้น เริ่มตั้งแต่อายุย่าง25 ปีขึ้นไป โครงกระดูกเล็กน้อย จนถึงอายุ 40 ปี ขึ้นไปพบว่าน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเร็วขึ้นอีกเนื่องจากร่างกายในวัยนี้ จะมีความต้องการพลังงานลดลง ดังนั้นหากยังบริโภคอาหารเท่าเดิม ก็ทำให้มีพลังงานเหลือเฟือและเก็บสะสมเป็นไขมันตามส่วนต่างๆของร่างกาย น้ำหนักจึงเพิ่มขึ้นได้
หากเปรียบเทียบแนวโน้มสัดส่วนต่างๆของร่างกายตามอายุ โดยเปรียบเทียบสัดส่วนต่างๆ คือ รอบเอว , รอบใต้อก , รอบอก , รอบหน้าท้อง และรอบสะโพก ตั้งแต่อายุ 17-19 ปีจนถึง 45-49 ปี จะพบว่าสัดส่วนต่างๆมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นหากสังเกตจากกราฟจะเห็นได้ว่าช่วงอายุ25-29 ปีถึง 30-34 ปีจะสูงชันมากกว่าช่วงอายุอื่น จึงกล่าวได้ว่า อายุในช่วงนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้มากที่สุด โดยสัดส่วนต่างๆที่เพิ่มขึ้นเรียงตามลำดับคือ รอบเอว , รอบใต้อก , รอบอก , รอบหน้าท้อง , รอบสะโพก
การหาดัชนีความหนาของร่างกาย (BMI)
ค่าดัชนีความหนาของร่างกายหรือเรียกย่อๆว่า BMI นั้นใช้เป็นมาตรฐานในการประเมินภาวะอ้วนผอมในผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นวิธีการที่ง่ายสามารถคำนวณได้จากสูตร โดยการชั่งน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม และวัดความสูเป็นเมตร แล้วคำนวณหาค่าดัชนีความหนาของร่างกาย โดยเอาน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมตั้งแล้วหารด้วยส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง ดังนี้
สูตรการหา BMI = น้ำหนักตัว (กก.)
ส่วนสูง (เมตร)2
ดังนั้น ค่าดัชนีความหนาของร่างกายจะเป็นหน่วยเป็น กิโลกรัม/ตารางเมตร (กก./ม2) หลังจากได้ค่า BM แล้วจึงนำไปเปรียบเทียบในตาราง ซึ่งจะบ่งบอกว่าค่าที่ได้นั้นอยู่ในภาวะใด
ตารางแสดงการแบ่งระดับความอ้วน
ภาวะ | ดัชนีความหนาของร่างกาย (กก./ม2) | |
ผอม | ระดับ 1 | 18.5 – 19.9 |
ระดับ 2 | 17.0 – 18.4 | |
ระดับ 3 | 16.0 – 16.9 | |
ปกติ | 20.0 -24.9 | |
อ้วน | ระดับ 1 | 25.0 – 29.9 |
ระดับ 2 | 30.0 – 39.9 | |
ระดับ 3 | 40 ขึ้นไป |
ตารางแสดงดัชนีมวลกาย จากน้ำหนักและส่วนสูง

ความสำคัญของดัชนีความหนาของร่างกายต่อสุขภาพ
เนื่องจากคนที่เป็นโรคอ้วน จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆได้มากกว่าคนที่มีน้ำหนักปกติ ดังนั้นคนที่มีค่า BMI สูงตั้งแต่ 25.0 กก./ม2 ซึ่งจัดได้ว่าเป็นคนอ้วน ก็จะมีโอกาสเกิดโรคเหล่านี้ได้มากขึ้น อาทิเช่น โรคความดันเลือดสูง , โรคเบาหวาน , โรคหัวใจขาดเลือด และโรคนิ่วในถุงน้ำดี เป็นต้น ส่วนคนที่มีค่า BMI ต่ำกว่า 20.0 กก./ม2 จัดว่าเป็นคนผอม ก็จะมีผลเสียต่อสุขภาพเช่นกัน คนผอมเรี่ยวแรงน้อยประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ภูมิต้านทานโรคลดน้อยลงทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคติดเชื้อต่างๆได้ง่าย ดังนั้นการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติถือเป็นเรื่องสำคัญ โดยมีดัชนีความหนาของร่างกายอยู่ระหว่าง 20.0 – 24.9 กก./ม2 จากสถิติรวบรวมในหลายหลายประเทศจะพบว่า คนอ้วนจะมีอายุสั้นกว่าคนที่ไม่อ้วน นอกจากนี้ยังพบว่า หากคนอ้วนที่มีค่า BMI มากกว่า 30 จะมีอัตราตายสูงขึ้นถึง 30 % คนอ้วนยังมีโอกาสเกิดโรคต่างๆ มากมายทั้งที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วย ทรมาน เรื้อรังและอาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตด้วย นอกจากนี้ยังมีปัญหาที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ อาชีพการงาน และรวมถึงสภาพจิตใจอีกด้วย
อ้วนแล้วไม่ดีอย่างไร?
อ้วนกับโรคหัวใจและหลอดเลือด
คนอ้วนที่มีโอกาสเกิดโรคหัวใจมากกว่าคนปกติถึง 4 เท่า และมักจะเสียชีวิตจากสาเหตุโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันมากที่สุด นอกจากนี้ยังพบว่าคนที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานถึงร้อยละ 20 %จะมีโอกาสเกิดโรคหัวใจวายมากกว่าคนปกติถึง 3 เท่า โรคหลอดเลือดหัวใจตีบต้นเกิดจากการที่มีไขมันไปเกาะติดอยู่บริเวณผนังเส้นเลือด เมื่อสะสมนานวันขึ้นก็จะพอกพูนจนกระทั่งทำให้เส้นเลือดบริเวณนั้นตีบแคบ เลือดไหลไม่สะดวก เป็นผลทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง กล้ามเนื้อหัวใจตายกะทันหัน เกิดหัวใจวายและเสียชีวิตได้ในที่สุด แต่หากการสะสมไขมันเกิดขึ้นช้าๆ ก็มีผลให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานหนักขึ้น ทำให้หัวใจโตผิดปกติ ถ้าเป็นนานๆ ก็จะทำให้เกิดการทำงานของหัวใจล้มเหลว หัวใจวายได้ โรคนี้บางครั้งก็มีอาการเตือนก่อน เช่น เจ็บปวด แน่นหน้าอกด้านซ้ายเวลาเหนื่อย,ขณะออกกำลังกาย, เครียดหรือโกธร อาการเจ็บอกอาจหายไปในเวลาไม่กี่นาที แต่บางครั้งอาการอาจจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว รุนแรงและเสียชีวิตได้ภายในเวลาไม่กี่นาที
อ้วนกับโรคความดันเลือดสูง
ความอ้วนกับความดันเลือดสูงเป็นของคู่กัน แต่ก็ไม่ทราบกลไกที่แน่นอนว่าทำไมโรคความดันเลือดสูงจึงมักเกิดในคนอ้วน แต่พบว่าหากมีการลดน้ำหนักตัวลงจะทำให้ความดันต่ำลงด้วย จากการศึกษาพบว่า ถ้าหากลดน้ำหนักตัวลงอย่างน้อย 7 กิโลกรัม จะสามารถลดความดันได้ถึง 15-20 มิลลิเมตรปรอท
อ้วนกับโรคกระดุกและข้อ
โดยเฉพาะกระดุกข้อเข่า ซึ่งบริเวณที่ต้องแบกน้ำหนักตัวอยู่ตลอดเวลา การมีน้ำหนักตัวมากเกินก็เปรียบเสมือนกับการที่เข่าเจ้ากรรมจะต้องแบกตุ่มใบใหญ่อยู่ตลอดเวลา เมื่อนานวันเข้าข้อเข่าก็จะเริ่มสึกกร่อน เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ หรือที่เรียกว่าโรคข้อเข่าเสื่อม(Osteoarthritis) โรคนี้ถ้าใครไม่เคยเป็นก็จะไม่รู้ว่าทรมานมากแค่ไหน ถ้าเป็นมากจะมีอาการเจ็บปวดบวมที่ข้อเข่า เดินไม่ได้เลยก็มีโดยเฉพาะในเพศหญิงวัยทองหรือวัยหมดประจำเดือน จะมีแนวโน้มที่จะเกิดข้อเข่าเสื่อมเนื่องจากขาดฮอร์โมนเพศจากรังไข่ ซึ่งมีผลให้เกิดการผุกกร่อนของกระดุกมากกว่าปกติ ดังนั้นถ้าหากยิ่งอ้วนมากขึ้นก็ยิ่งจะเร่งให้เข่าเสื่อมเร็วขึ้นกว่าปกติ การรักษาโรคกระดุกข้อเข่าเสื่อมนั้น ในปัจจุบันมักจะรักษาด้วยยาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดและลดการอักเสบ แต่หากยังไม่ดีขึ้นหรือข้อเข่าผุกร่อนผิดรูปร่างจนเดินไม่ได้ ก็จะต้องทำการผ่าตัดใส่ข้อเข่าเทียมแทนข้อเข่าเดิม
อ้วนกับโรคระบบทางเดินอาหารและถุงน้ำดี
พบโรคนิ่วในถุงน้ำดีในคนอ้วนมากกว่าคนน้ำหนักปกติถึง 3 เท่า เข้าใจว่าเกิดจากการสร้างโคเลสเตอรอลและขับออกทางน้ำดีเพิ่มขึ้น ทำให้น้ำดีในถุงน้ำดีมีความเข้มข้นมากขึ้นจนจับตัวกลายเป็นก้อนนิ่วเกิดขึ้น นอกจากนี้คนอ้วนมักมีอาการของระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องอืด, อาหารไม่ย่อย และมีลมในลำไส้มาก ซึ้งอาจเกี่ยวข้องกับโรคนิ่วก็ได้ นอกจากนี้คนอ้วนอาจจะมีตับโตเนื่องจากมีไขมันสะสมที่ตับมากเรียก Fatty liver
อ้วนกับโรคมะเร็ง
คนอ้วนมีโอกาสเกิดโรคมะเร็งที่อวัยวะต่างๆมากกว่าคนที่ไม่อ้วนถึง 40-55% โดยจากการศึกษาพบว่าคนที่อ้วนมากคือมีน้ำหนักตัวเกินกว่ามาตราฐานประมาณ 40% ถ้าเป็นผู้หญิงจะมีโอกาสเกิดโรคมะเร็งของมดลูก รังไข่ และเต้านมมากขึ้น แต่ถ้าเป็นผู้ชาย ก็จะมีโอกาสเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และต่อมลูกหมากได้มากกว่าคนที่มีน้ำหนักตัวปกติ
อ้วนกับการตั้งครรภ์
คนอ้วนมักจะมีโอกาสตั้งครรภ์ยาก และหากตั้งครรภ์แล้วก็มักจะเกิดปัญหาได้มากกว่าคนที่มีน้ำหนักตัวปกติ อาทิเช่น มีโอกาสเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ, คลอดยาก, ทารกในครรภ์อยู่ในท่าผิดปกติ หรือ ตกเลือดหลังคลอด นอกจากนี้แล้วยังพบว่าทารกที่เกิดจากมารดาที่อ้วนมักจะตัวโตและมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าปกติ
อ้วนกับโรคผิวหนัง
คนอ้วนมักจะมีปัญหาเกี่ยวกับโรคผิวหนังโดยเฉพาะคนที่อ้วนมาก มักเกิดโรคติดเชื้อหรือเชื้อราบริเวณรอยพับ ซอกคอ ขาหนีบ นอกจากนี้มักจะมีรอยด่างดำที่เกิดจากการเสียดสีของผิวหนัง เช่น รักแร้, ขาหนีบ หรือข้อพับต่างๆ
อ้วนกับการผ่าตัดและดมยาสลบ
คนอ้วนมีโอกาสที่จะเกิดผลแทรกซ้อนมากตั้งแต่เริ่มดมยาสลบ ระหว่างผ่าตัดและหลังผ่าตัด การผ่าตัดต้องใช้เวลานานโดยเฉพาะการผ่าตัดในช่องท้องเพราะไขมันมากและหนา และมีการเสียเลือดมากขึ้นหลังผ่าตัดอาจจะมีผลแทรกซ้อนที่เกี่ยวกับแผล การหายใจ นอกจากนี้ในระหว่างดูแลให้สารน้ำหรือน้ำเหลือก็จะยากลำบากกว่า เนื่องจากค้นหาเส้นเลือดที่จะให้น้ำเกลือได้ยาก
อ้วนกับการตรวจวินิจฉัยโรค
เครื่องมือแพทย์ต้องการตรวจร่างกายเพื่อนวินิจฉัยโรคจะพบว่าคนผอมจะตรวจร่างกายได้สะดวกและง่ายกว่าคนอ้วน ผลการตรวจก็จะแน่นอนมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการฟังเสียงหัวใจ, ลมหายใจ, ลำไส้ ฯลฯ หรือคลำอวัยวะต่างๆ จากภายนอกเช่น ตับ, ก้อนเนื้อที่ผิดปกติ ซึ่งในคนอ้วนมักจะมีไขมันมาก ทำให้ผลการตรวจไม่แน่ชัด แม้แต่ภาพเอ็กซเรย์ในคนอ้วนก็จะไม่ชัดเจนเท่ากับในคนผอม ทำให้วินิจฉัยโรคได้ยากขึ้น
อ้วนกับภาวะทางจิตใจ
คนอ้วนบางคนมีอารมณ์ดี จิตใจร่าเริงแจ่มใส แต่ก็มีคนอ้วนอีกไม่น้อยที่มักขาดความมั่นใจในตัวเอง เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับรูปร่างที่ดูอุ้ยอ้าย, อ้วนเป็นพะโล้ จึงมักจะถูกล้อเลียนเปรียบเปรยอยู่เสมอ ทำให้รู้สึกเป็นปมด้อย การแต่งกายให้สวยงามก็เป็นเรื่องยากในด้านชีวิตสมรสก็อาจจะเกิดปัญหาด้วย ยิ่งถ้าก่อนแต่งงานผอมหุ่นเพรียวแต่พออยู่ๆกันไป ยิ่งอ้วนขึ้นอ้วนขึ้นทุกที เห็นท่าคู่สมรสอาจจะปรับตัวรับไม่ได้ ก็จะเกิดปัญหาต่างๆตามมา หากมีปัญหาหรือรู้สึกกังวล ทุกข์ใจก็จะเกิดความเครียด “ยิ่งเครียดก็ยิ่งกิน…ยิ่งกินก็ยิ่งอ้วน” ทางที่ดีควรดูแลเอาใจใส่ระมัดระวังอย่าให้อ้วนจะดีกว่า
วิธีการลดน้ำหนัก
1.การใช้ยาลดน้ำหนัก
ยาลดน้ำหนัก ปัจจุบันการลดน้ำหนักโดยการรับประทานยาลดความอ้วนกำลังเป็นที่นิยมกันแพร่หลาย โดยเฉพาะในคนที่อ้วนแล้วไม่สามารถควบคุมการกินอาหาร หรือไม่ชอบออกกำลังกาย คนอ้วนเหล่านี้จึงจำเป็นต้องใช้วิธีอื่นในการลดน้ำหนักแทน ซึ่งการรับประทานยาลดความอ้วนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เพราะเป็นวิธีที่ง่าย สะดวกรวดเร็ว เพียงแต่รับประทานยาและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้นก็สามารถลดน้ำหนักได้ตามต้องการ ถึงแม้ว่าการลดน้ำหนักโดยวิธีการกินยาลดความอ้วนนี้ จะเป็นวิธีที่ได้ผลดีก็ตาม แต่การใช้ยาเหล่านี้ควรจะอยู่ในความดูแลของแพทย์ เนื่องจากยาลดความอ้วนมีมากมายหลายประเภท มีขนาดและการใช้แตกต่างกันขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคน ก่อนใช้ยาจึงควรมีความรู้หรือความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับผลของยาและการปฏิบัติตัวเสียก่อน เพราะหากใช้ยาไม่ถูกต้อง ก็อาจจะเกิดอันตรายต่อร่างกายได้ และที่สำคัญไม่ควรซื้อยาเหล่านี้มารับประทานเอง
ดังนั้นก่อนจะรับประทานยาลดความอ้วน ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสภาพร่างกาย โรคประจำตัวหรือยาที่รับประทานอยู่เป็นประจำ ซึ่งควรแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้า หรือประวัติการรับประทานยาลดความอ้วน, อาหารที่เกิดขึ้นในระหว่างรับประทานยา เป็นต้น มีข้อห้ามใช้ยาลดน้ำหนักในหญิงตั้งครรภ์เพราะอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้
ยาลดน้ำหนัก ที่ใช้อยู่ทั่วไปแบ่งออกเป็น 8 กลุ่มใหญ่ๆคือ
- ยาทำให้ไม่อยากอาหาร
ยาในกลุ่มนี้เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะมีผลทำให้รู้สึกเบื่ออาหาร รับประทานอาหารได้น้อยลงอิ่มเร็วขึ้น ดังนั้นเมื่อร่างกายได้รับอาหารน้อยลง และหากพลังงานที่ได้รับจากอาหารนี้น้อยกว่าพลังงานที่ร่างกายต้อง ร่างกายจะต้องหันมาใช้ไขมันสะสมเป็นพลังงานแทน ก็เป็นผลทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้ ยาในกลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส บริเวณที่เป็นศูนย์ควบคุมการกินอาหารและบางชนิดยังออกฤทธิ์เพิ่มกูลโคสในกล้ามเนื้อ ผลนี้จะเปรียบเสมือนได้ใช้พลังงานมากขึ้น และยาบางชนิดยังออกฤทธิ์สลายไขมันและกรดไขมันอีกด้วย
- ยาขับน้ำหรือยาขับปัสสาวะ
ยาในกลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ขับน้ำออกจากร่างกาย ทำให้ปัสสาวะบ่อยและปริมาณมากขึ้น จึงทำให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว นิยมใช้ในพวกนักมวยที่ต้องการลดน้ำหนักให้เท่าพิกัดในระยะเวลาสั้น โดยมากแพทย์มักใช้ยานี้ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง ภาวะบวมน้ำ เป็นต้น ยาเหล่านี้หากใช้ในระยะยาว อาจทำให้เกิดอาหารอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง กระหายน้ำ คอแห้ง ปากแห้ง เนื่องจากร่างกายมีการสูญเสียเกลือแร่และน้ำออกไปทางปัสสาวะ
- ยาฮอร์โมน
โดยมากมักจะเป็น “ธัยรอยด์ฮอร์โมน” ซึ่งออกฤทธิ์ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้น เมื่อพลังงานสะสมถูกใช้ไปมากขึ้นจึงทำให้น้ำหนักลดลงได้ แต่หากใช้ยาปริมาณมากจะทำให้เกิดอาการใจสั่น เหงื่อไหล หรือมีอาการคล้ายกับคนที่เป็นโรคต่อมธัยรอยด์เป็นพิษได้
- ยาระบายหรือยาถ่าย
ยากลุ่มนี้มีหลายชนิด บางชนิดออกฤทธิ์กระตุ้นลำไส้ให้บีบตัว บางชนิดก็ทำให้อุจจาระอ่อนตัวหรือเพิ่มปริมาณอุจจาระ ทำให้ถ่ายมากหรือบ่อยขึ้น ยาในกลุ่มนี้มีทั้งที่เป็นน้ำและเป็นเม็ด หลังจากรับประทานแล้วจะรู้สึกอยากถ่ายและอุจจาระค่อนข้างเหลว เหมาะสำหรับคนที่ท้องผูก ถ่ายยาก
- ยาลดกรด
ยาลดกรดทำให้กระเพาะอาหารบีบตัวน้อยลง จึงทำให้ไม่รู้สึกหิว แต่เป็นเพียงชั่วขณะนั้น ยาลดกรดจะมีสารประกอบที่เป็นอะลูมินัม (aluminum) ซึ่งแพทย์มักจะใช้ยานี้เพื่อป้องกันหรือรักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบและบรรเทาอาการปวดท้อง ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรับประทานยานานๆเช่น ท้องผูก หรือขาดสารอาหารบางอย่างเนื่องจากยาลดกรดไปรบกวนการดูดซึมของสารอาหาร โดยเฉพาะ fluoride และ phosphate เป็นต้น
2.ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ใช้ในการลดน้ำหนัก
- สมุนไพรที่ผลิตจากพืช
มักจะอยู่ในรูปของอาหารสำเร็จรูป ซึ่งปรุงแต่งให้มีพลังงานต่ำ ส่วนประกอบทั่วๆไปคือ เส้นใยอาหาร สารอาหารอื่นๆ คือ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน น้ำมัน รวมทั้งเกลือแร่วิตะมินต่างๆ เพื่อนำไปรับประทานแทนอาหารปกติ เพื่อลดปริมาณพลังที่ได้จากอาหารให้น้อยลง เนื่องจากเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วเส้นใยอาหารจะพองตัว ทำให้เพิ่มปริมาตรของอาหารในกระเพาะ จึงทำให้รู้สึกไม่หิว และหากรับประทานก่อนมื้ออาหารประมาณ ½-1 ชั่วโมง ก็จะทำให้รับประทานอาหารอื่นได้น้อยลงและอิ่มเร็วขึ้น
- สารสกัดจากส้มแขก
ปัจจุบันได้มีการสกัดสารชนิดหนึ่งจากผลส้มแขกหรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Garcinia Cambogia ซึ่งเชื่อว่ามีผลในการลดไขมันได้ ปัจจุบันจึงเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่คนอ้วนที่ต้องการลดน้ำหนัก สารสกัดที่สำคัญที่ว่าก็คือ ไฮดรอกซีซิตริกแอซิด (Hydroxycitric Acid) หรือเรียกย่อๆว่า HCA ซึ่ง อย.รับรองความปลอดภัยแล้วในลักษณะขอบ “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร” แต่ไม่ได้รับรองสรรพคุณในแง่ลดความอ้วน
- ไคโตซาน(Chitosan) ปัจจุบันมีการค้นพบเส้นใยอาหารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ไคโตซาน(Chitosan) ที่ได้จากส่วนนอกหรือเปลือกของสัตว์ เช่น เปลือกกุ้งหรือปู ซึ่งเมื่อนำมาย่อยสลายแล้วจะได้ไคโตซาน ซึ่งมีคุณสมบัติในการจับไขมันได้ดี ซึ่งในปัจจุบันได้พัฒนาอนุพันธ์ของไคโตซานเพื่อให้สามารถจับกับไขมันได้ดีในทางเดินอาหารของมนุษย์ ซึ่งมีชื่อเรียกว่า “แอบซอร์บิทอล” หรือ L112 ไบโอโพลิเมอร์(Enhanced Chitosan Derivative) แอบซอร์บิทอลจะมีลักษณะเป็นเส้นใยเล็กๆที่มีพื้นที่ผิวสูง สามารถจับกับไขมันในทางเดินอาหารและรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนและสามารถถูกขับถ่ายออกมาพร้อมอุจจาระ ปัจจุบันจึงมีการใช้แอบซอร์บิทอลในการควบคุมน้ำหนักและลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ และโคเลสเตอเรลในเลือด การใช้แอบซอร์บิทอลนั้นควรระมัดระวังการขาดวิตามินบางชนิดได้ โดยเฉพาะวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น เอ ดี อีและเค
3.การฝังเข็ม
ตามศาสตร์การแพทย์แผนจีน ภาวะน้ำหนักเกิน หรือความอ้วน เกิดมาจากปัจจัยภายใน และ ปัจจัยภายนอก
- ปัจจัยภายใน
เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบการเผาผลาญพลังงานภายในร่างกาย ซึ่งขึ้นอยู่กับ การทำงานของกระเพาะอาหาร ระบบย่อยอาหาร รวมไปถึงส่วนของม้ามอ่อนแอ ระบบขับถ่ายของเสียบกพร่อง ทำให้มีเสมหะสะสม ไขมันสะสม คนที่อ้วนด้วยสาเหตุนี้ อาจจะไม่ได้รับประทานอาหารมากนัก แต่พลังเผาผลาญน้อยลง การฝังเข็มจึงมุ่งไปเพิ่มพลังกระเพาะอาหาร และช่วยให้ม้ามทำงานได้ดีขึ้น สาเหตุที่ทำให้ระบบการย่อยบกพร่อง อาจจะเนื่องจากการรับประทานอาหารคราวละมากๆ บ่อยๆ ไม่เป็นเวลา , การดื่มน้ำเย็น น้ำแข็ง ในช่วงที่อิ่มข้าวแล้ว ซึ่งความเย็นจะทำให้ระบบการย่อยช้าลง เกิด “ภาวะหยางพร่อง” ของกระเพาะอาหาร ประสิทธิภาพลดลง อาหารค้างในลำไส้นานกว่าปกติ เกิดเสมหะและลม รบกวนระบบการทำงานต่างๆของร่างกาย
- ปัจจัยภายนอก
ได้แก่ การรับประทานอาหารปริมาณมาก เกินความต้องการของร่างกาย ร่วมกับขาดการออกกำลังกาย เกิดพลังงานสะสมมาก เป็นเหตุให้ไขมันมากขึ้น น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น
วิธีการฝังเข็ม
หลังจากที่ “เปี้ยนเจิ้ง” หรือ วิเคราะห์หาสาเหตุแล้ว แพทย์ก็จะเลือดจุดฝังเข็ม ตามเส้นลมปราณโดยเฉพาะ เส้นลมปราณกระเพาะอาหาร และม้าม ซึ่งจะใช้เข็มขนาดความยาว 1.5 ชุ่น ฝังไปตามบริเวณหน้าท้อง รอบสะดือ ร่วมกับการกระตุ้นปลายเข็มด้วยเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า และอาจจะปรับการไหลเวียนของเลือดบริเวณหน้าท้อง โดยการครอบแก้ว รอบๆสะดือ
